เภสัชกร สุกี้

หลังจากอยู่ในวงการร้านจำหน่ายยา อาหารเสริม อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวต่างๆ มากว่า 10 ปี พบว่า ยังมีผู้คนมากมายที่ยังขาดความรู้และมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ในเรื่องการดูแลสุขภาพร่างกาย ทั้งจากภายในและภายนอก เหล่านี้ทำให้เกิดความสูญเสียต่างๆ เริ่มต้นจากการเสียเงินเสียทองไปโดยไม่จำเป็น ไปจนถึงการเสียสุขภาพถึงขั้นมีผลต่อชีวิต ด้วยประสบการณ์เหล่านี้ จึงอยากใช้พื้นที่ตรงนี้ในการแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่างๆ ด้านสุขภาพและความงาม ด้วยความปรารถนาดีจาก เภสัชกรสุกี้ www.ProAndBest.com

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ฉันจะคุยกับเจ้าของร้านเท่านั้น ไม่ใช่ลูกจ้างอย่างเธอ !!


ฉันจะคุยกับเจ้าของร้านเท่านั้น ไม่ใช่ลูกจ้างอย่างเธอ !!
*****************************
เขียนโดย ภก.สุกี้ (
Sanook User Name: Sukiro)

www.ProAndBest.com
http://webboard.women.sanook.com/forum/?topic=3124838

*****************************


วันหนึ่งหลังจากมีของมาส่งที่ร้านของฉัน ก็ถึงคราวต้องจัดการกับสินค้าที่มาใหม่ทั้งหลาย ไหนจะต้องพิมพ์ข้อมูลสินค้าเข้าในคอม จัดการเอกสารต่างๆ ให้เรียบร้อย ติดป้ายราคา จัดเรียงสินค้าขึ้นชั้นวาง และอีกสารพัด เล่นเอาผมเผ้าฟูฟ่อง และเสื้อผ้ายุ่งเหยิงไปเหมือนกัน

ขณะกำลังง่วนกับการจัดวางสินค้าขึ้นชั้นวาง ก็สังเกตเห็นว่า ลูกค้าท่าทางแบบไฮโซท่านหนึ่ง (ที่ว่าไฮโซ เพราะดูจากการแต่งหน้าจัดจ้าน อายุราว 40-50 ผมเป็นกระบังลมขนาดเกือบ 10 ซม.!! พร้อมเฟอร์นิเจอร์ประดับร่างกายเป็นของแบรนด์เนมแพงหูฉี่ทุกชิ้น ) กำลังทำหน้าสงสัยกับสินค้าตัวหนึ่งอยู่ได้สักระยะ จึงเดินเข้าไปเสนอความช่วยเหลือพร้อมพูดว่า มีอะไรให้ช่วยไหมคะลูกค้าหันหน้าแบบเรียบเฉยมามองฉัน พร้อมกับสำรวจร่างกายฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็พูดว่า ประทานโทษนะ ฉันจะคุยกับเจ้าของร้านเท่านั้น ไม่ใช่ลูกจ้างอย่างเธอ !!! เพราะเธอคงลดราคาให้ฉันได้ไม่มากเหมือนเจ้าของร้าน !!!แล้วเค้าก็ตะโกนข้ามหัวไปที่แคชเชียร์ของร้าน (ซึ่งเป็นลูกจ้างของฉัน!!) และพูดว่า ขวดนี้ลดได้เท่าไรเนี่ย
แคชเชียร์ซึ่งได้ยินคำพูดบาดใจของไฮโซดังกล่าว ก็ยังอยู่ในอาการอึ้งๆ และไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี ฉันก็เลยหันกลับไปหาน้องแคชเชียร์และพูดไปว่า ลดได้เท่าไรคะเจ๊” (แอบเนียนตามลูกค้าไฮโซไปด้วย) แคชเชียร์เมื่อได้สติแล้ว ก็ตอบลูกค้าไป ส่วนตัวฉันก็หันไปยิ้มหวานๆ ให้ลูกค้าพร้อมเดินถอยฉากออกมา สักพัก ลูกค้าก็เลือกสินค้าเสร็จและเดินมาจ่ายตังค์ที่แคชเชียร์ ระหว่างการจ่ายเงิน ก็ยังบ่นออกมาอีกว่าดีใจจังที่มาซื้อของแล้วเจอเจ้าของร้าน เนี่ยไปซื้อของกี่ร้านต่อกี่ร้าน เจอลูกจ้างขายทีไร ไม่ค่อยได้เรื่องเลย จะต่อราคาก็ลดได้ไม่มาก ขายของแบบนี้ลูกค้าหนีหมด ใช่มะขณะนั้น ฉันเองก็แอบฟังอยู่หลังร้านพร้อมกับอมยิ้ม

เมื่อนึกทบทวนเหตุการณ์ข้างต้น ก็อดยิ้มไม่ได้ทุกที แค่ เสื้อผ้าหน้าผมก็ทำให้เราถูกตัดสิน และถูกจัดชนชั้นไปต่างๆ นานา เมื่อคนเราตัดสินดังกล่าวแล้ว ก็เลือกที่จะยกตนไปสู่ระดับที่มองว่า สูงกว่า” “ดีกว่าและเหมาะสมกับฉันมากกว่า
นี่ยังโชคดีว่า การตัดสินคนแค่เปลือกนอกเช่นครั้งนี้ มิได้นำไปสู่การชี้วัดว่า เขาเป็นคนดีหรือ คนชั่ว”, เป็น พวกกูหรือ พวงคุณเพราะ ระดับของคน ไม่ได้วัดกันจากเฟอร์นิเจอร์หรือเสื้อผ้าหน้าผมที่เค้ามี แต่เป็นผลิตผลจาก ความดีหรือ บุญบารมีที่แต่ละคนต้องปฏิบัติและสั่งสมกันมา

น้ำหอมจะขวดไหน ยี่ห้อไหน ถ้าจะใช้ ก็ต้องฉีด และหอมได้ในวงจำกัด และระยะเวลาหนึ่ง
แต่ ความดีแค่มีและถือไว้ ก็ทำให้เราหอมได้ไกลไปทั่วโลก และหอมได้นานชั่วลูกชั่วหลาน

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เมื่อกระเป๋าใบละแสน มีค่าแค่ที่กันประตู

เมื่อกระเป๋าใบละแสน มีค่าแค่ที่กันประตู

http://webboard.women.sanook.com/forum/?topic=3124838

วันหนึ่ง...ขณะกำลังยุ่งๆ กับการย้ายของในห้องนอนหลังจากปล่อยให้รกรุงรังมานานหลายเดือน ก็เหลือบไปเห็นว่า พี่เลี้ยงที่บ้านวางสิ่งของชิ้นหนึ่งไว้เพื่อกันไม่ให้ประตูห้องนอนปิดกระแทกเพราะลมพัด (พอดีเปิดหน้าต่างไว้ทั้งในและนอกห้องนอน พอมีลมพัดแรงๆ ประตูห้องนอนก็จะถูกพัดปิดเอง ส่งเสียงดังให้ตกใจบ่อยครั้ง) จังหวะนั้นประตูก็ถูกลมพัดปิดเข้ามากระแทกกับสิ่งของที่วางไว้ จึงไม่เกิดเสียงประตูปิดดังๆ ให้ตกใจ แต่พอตั้งใจมองว่า สิ่งของที่พี่เลี้ยงวางไว้กันประตูนี้คืออะไร ทันใดนั้น... "กรี๊ด..ด..ด..ด.." ฉันส่งเสียงดังลั่นบ้านด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่า มันคือกระเป๋าสุดหรูที่เพื่อนซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดและเป็นสินน้ำใจที่ช่วยเหลือเค้าหลายเรื่อง (ซึ่งตัวเองก็ไม่เคยคิดจะซื้อ และก็ไม่มีปัญญาซื้อเช่นกัน ) เค้าบอกว่ามันใบละ 2 แสนกว่าบาท!!!! (คอนเฟริมค่ะ เพราะไปเช็คราคามาหลายที่ก็ประมาณนี้หมด) แต่ว่าฉันก็ไม่กล้าเอาไปใช้สักที ได้แต่เก็บไว้เฉยๆ ในห้องนอนเพราะกลัวมันจะถลอกเสียหาย กลัวจะถูกขโมย กลัวสารพัด... เมื่อเห็นเช่นนั้น ก็เลยรีบไปเก็บกระเป๋าขึ้นมา แล้วหาของอย่างอื่นมาวางแทน...

หลังจากเก็บของเสร็จ ก็ลงมาพักดื่มน้ำและหาอะไรทานที่ห้องครัว นั่งพักนิ่งๆ สักระยะพร้อมนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างต้น พบว่า สิ่งของในโลกนี้ คุณค่าของมันไม่ได้อยู่ที่ราคาที่ปรากฏที่ตัวสินค้า แต่อยู่ที่ "มุมมอง" ของแต่ละคน

เราว่ากระเป๋าใบนี้ใบละเป็นแสน แต่สำหรับพี่เลี้ยงเรา เค้ามองมันก็ไม่ต่างจากสิ่งของ "ไร้ค่า" ที่อาจมีประโยชน์แค่เป็นของกันประตู เพราะมันไม่ได้มีประโยชน์อื่นใดกับเค้าเลย บางคนอาจมีกระเป๋าหลายสิบใบ (รวมทั้งฉันด้วย) แต่เวลาใช้ ก็ใช้ได้ทีละใบ และใบที่ใช้บ่อยๆ ก็มีอยู่ไม่กี่ใบ แล้วใบที่เหลือล่ะ?? ด้วยความที่กลัวว่ามันจะเก่าจะพัง ต้องหากล่องใส่ หาตู้เก็บ ต้องคอยเช็ดฝุ่น เช็ดน้ำยา จิปาถะอีกเพียบ...บางคนอาจหลงใหลจนเผลอตัวไปช็อปเสื้อผ้า รองเท้า อีกหลายตัวหลายคู่ จนล้นดู้ หรืออาจต้องซื้อตู้มาเก็บเพิ่ม ...

ลองนึกถึงตอนวันที่เราซื้อหรือได้ของเหล่านี้มา โอ้โห...มีความสุขและดีใจเหลือล้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ต้องหาที่เก็บ ดูแลรักษา หรือแม้จะไม่ได้ใส่ใจดูแลมัน ก็ยังทำให้บ้านรกรุงรังหากเก็บไว้ระเกะระกะ .. ภาระดีๆ นี้เอง

ตกลงคุณค่าของกระเป๋า อยู่ที่ราคาใบละเป็นแสน หรืออยู่ที่ เราได้ใช้ประโยชน์โภชผลจากมันแค่ไหน???
>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ภก.สุกี้