เภสัชกร สุกี้

หลังจากอยู่ในวงการร้านจำหน่ายยา อาหารเสริม อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวต่างๆ มากว่า 10 ปี พบว่า ยังมีผู้คนมากมายที่ยังขาดความรู้และมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ในเรื่องการดูแลสุขภาพร่างกาย ทั้งจากภายในและภายนอก เหล่านี้ทำให้เกิดความสูญเสียต่างๆ เริ่มต้นจากการเสียเงินเสียทองไปโดยไม่จำเป็น ไปจนถึงการเสียสุขภาพถึงขั้นมีผลต่อชีวิต ด้วยประสบการณ์เหล่านี้ จึงอยากใช้พื้นที่ตรงนี้ในการแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่างๆ ด้านสุขภาพและความงาม ด้วยความปรารถนาดีจาก เภสัชกรสุกี้ www.ProAndBest.com

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สาวหน้าใสเชิดใส่ความมัน


สาวหน้าใสเชิดใส่ความมัน

ความร้อนนอกจากจะทำให้เหงื่อไหลไคลย้อย น่ารำคาญ ยังส่งผลให้ผิวมีความมันวาวเพิ่มขึ้น และอาจทำให้เกิดสิวเห่อได้ง่ายอีกด้วย โดยเฉพาะสำหรับสาวที่ผิวมันอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ปัญหาความมันและสิวก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีก ในยามอากาศร้อน ๆ แบบนี้ มาเชิดใส่ความมันและคงผิวหน้าให้กระจ่างใสด้วยเคล็ดลับดี ๆ ที่เรารวบรวมมาให้กันดีกว่า

ผิวหน้า...ต้องสะอาดเสมอ

ผิวมันมักมีความมันวาวอยู่แล้วเนื่องจากซีบัมที่ถูกผลิตออกมามากเกินไป และในหน้าร้อนทั้งความร้อนและความขึ้นก็ยิ่งทำให้ผิวผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมามากยิ่งขึ้นไปอีก แถมความมันและเหงื่อไคลยังดึงดูดเอาความสกปรกและฝุ่นเข้ามาสะสมบนผิวได้ง่าย ทำให้ผิวมีแนวโน้มที่จะเป็นสิวได้ง่ายขึ้น

กฎข้อแรกของผิวมันจึงได้แก่การรักษาความสะอาด การขจัดความมันวาวและความสกปรกทั้งหลายที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว ฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะเหนื่อยล้าจากปาร์ตี้หรือนั่งทำงานอยู่จนดึกจนตื่นขนาดไหน ก็อย่าลืมล้างเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนทิ้งตัวลงบนที่นอน ถึงแม้คุณจะเป็นคนที่ชอบแต่งหน้าอ่อน ๆ น้ำมันและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ก็อาจสะสมอยู่บนผิวหน้าจนอาจเข้าไปอุดตันรูขุมขนได้ กุญแจสำคัญที่จะช่วยป้องกันสิวให้คุณได้คือ ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอย่างแคลนเซอร์และโทนเนอร์ที่ใช้สำหรับการป้องกันสิวโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ก็ควรทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึกในตอนกลางคืน และใช้มาส์กทำความสะอาดผิวหน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ก็จะช่วยให้ผิวหน้าคงความสะอาดสดใสไว้ได้ ถ้าในกรณีที่คุณมีสิวขึ้นอยู่แล้วก็แต้มสิวพวกนั้นด้วยยารักษาสิว ที่มีส่วนผสมของเบนซอยล์ เปอร์ออกไซด์ นอกจากนี้ก็ความเปลี่ยนมาใช้มอยสเจอไรเซอร์แบบเบาบาง เพื่อเป็นการช่วยลดความมันบนผิวหน้าอีกทางหนึ่ง

ทำความสะอาดรูขุมขน

หาเวลาว่างซักสัปดาห์ละครั้งทำการอบไอน้ำด้วยสมุนไพร เพื่อเป็นการทำความสะอาดรูขุมขนให้สะอาดหมดจด วิธีการก็ไม่ยุ่งยาก แค่ใส่ไธม์แห้ง 2 ช้อนโต๊ะ (หาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่) และลาเวนเดอร์ 2 ช้อนโต๊ะ (หรือจะใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์แทนก็ได้) ลงในน้ำร้อนหนึ่งชามอ่าง จากนั้นใช้ผ้าขนหนูคลุมศีรษะเอาไว้เหนือชามอ่าง ปล่อยให้ไอน้ำร้อนรมผิวหน้าเป็นเวลา 10 นาที แล้วล้างหน้าตามปกติ ก่อนตบท้ายด้วยน้ำเย็น เพื่อเป็นการปิดรูขุมขน

ทรีตเมนต์ลดความมันวาว

การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีขายตามเคาน์เตอร์ บางครั้งก็อาจมีส่วนผสมของสารเคมีที่รุนแรงต่อผิว และอาจทำให้ผิวมันขาดความสมดุล กลายเป็นต้นเหตุของปัญหาอื่นๆ ตามมา ทางออกอย่างหนึ่งคือการใช้ทรีตเมนต์จากส่วนผสมธรรมชาติที่หาได้ง่าย ในครัวเรือนสำหรับช่วยดูแลผิวมัน และนี่คือวิธีง่าย ๆ

- ผสมไข่ขาว 1 ฟอง น้ำมะนาว 1 ช้อนชา สะระแหน่ และแตงกวาครึ่งลูก ทาส่วนผสมลงบนใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาทีก่อนล้างออก

- บดมะเขือเทศแล้วทาลงให้ทั่วผิวหน้า มะเขือเทศจะช่วยดูดซับความมันวาวส่วนเกิน โดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึง

- ผสมมะเขือเทศ น้ำมะนาว และข้าวโอ๊ตให้เป็นส่วนผสมข้น ๆ ทาลงบนใบหน้าแล้วขัดวนเบา ๆ ก่อนล้างออกด้วยน้ำอุ่น

- น้ำมันหอมระเหยในตระกูลชิดรัส อย่างเช่น มะนาว เกรปฟรุต หรือส้ม สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวมันได้โดยไม่รุนแรง ลงหาโลชั่นที่มีส่วนผสมของพฤกษาสกัดตามธรรมชาติ แล้วเติมน้ำมันชิตรัสสองสามหยดต่อโลชั่นหนึ่งออนซ์ ใช้ในตอนกลางคืนเพื่อช่วยลดความมันวาวของผิว

- ผสมข้าวโอ๊ตบดกับน้ำมะนาวและน้ำมันมะกอกเพียงเล็กน้อยเพื่อให้เป็นส่วนผสมข้นๆ ใช้ขัดใบหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ช่วยกำจัดน้ำมันส่วนเกินออกจากรูขุมขน และช่วยลดสิวเสี้ยน

- ผสมน้ำมะนาวกับน้ำอุ่นนิดๆ และน้ำส้มสายชูเล็กน้อย แล้วใช้ก้อนสำลีชุบส่วนผสมเช็ดใบหน้า ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งโดยไม่ต้องล้างออกก่อนแต่งหน้าหรือทาครีมบำรุงอื่น ๆ มันจะช่วยลดความมันวาวและอาจช่วยลดเหงื่อที่ออกบนใบหน้าที่ทำให้เมกอัพเลอะเลือนจางได้ง่าย

เมกอัพสำหรับสาวผิวมัน

การใช้เมกอัพที่มีส่วนผสมของน้ำมันมีแต่จะทำให้ปัญหาเพิ่มขึ้น สาวผิวมันจึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แบบปราศจากน้ำมันหรือแต่งหน้าให้น้อยที่สุดในช่วงนี้จะดีที่สุด นอกจากนี้ ในยามที่อากาศร้อน ๆ อย่างนี้ เชื้อโรคต่าง ๆ จะแพร่กระจายได้ง่าย ฉะนั้น ถ้าคุณใช้แปรงปัดมาสคาร่า พู่กันทาอายแชโดว์ และฟองน้ำหรือพัฟฟ์ร่วมกับคนอื่น คุณก็อาจเสี่ยงที่จะมีปัญหาผิวที่ร้ายแรงตามมาได้ เพราะเชื้อโรคต่าง ๆ มักจะแฝงตัวอยู่บนผิวหน้าของเครื่องสำอางที่ใช้แล้ว ถ้ามีน้ำมูกและน้ำลายเข้าไปผสมก็จะทำให้เชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียมีการแพร่กระจายมากขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนที่คุณใช้อุปกรณ์แต่งหน้าร่วมกันนั้นเป็นเริมหรือโรคตาแดงอยู่ก่อนแล้ว ก็อาจส่งผ่านเชื้อโรคนั้นมาถึงคุณได้ ฉะนั้น ก็ใช้อุปกรณ์แต่งหน้าเฉพาะของคุณคนเดียว และควรทำความสะอาดทุกสัปดาห์ด้วยสบู่อ่อน ๆ กับน้ำเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่

เติมความเย็นให้เครื่องสำอาง

ความร้อนไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายของคุณผลิตเหงื่อออกมาอย่างพรั่งพรูเท่านั้น แต่ยังทำให้ทั้งหลายแหล่ในกระเป๋าของคุณเกิดการแตกตัวด้วย เพราะส่วนผสมบางชนิดจะเกิดการแยกตัวออกจากกันเมื่อโดนความร้อนเป็นเวลานานๆ ไม่ว่าจะเป็นครีมกันแดด ครีมรองพื้น คอนซีลเลอร์ หรือแม้แต่ลิปกลอส แล้วคุณลองหลับตานึกภาพ ดูซิว่า หน้าตาคุณจะเป็นยังไงถ้าหยิบเครื่องสำอางพวกนั้นขึ้นมาใช้ ฉะนั้น ถ้าคุณต้องนั่งรถฝ่าเปลวแดดไปไหน ก็จับเครื่องสำอางใส่ลงในกระติกน้ำแข็งไปกับคุณด้วย หรือวางกระเป๋าเครื่องสำอางของคุณให้พ้นจากแสงแดด และในยามที่อยู่ที่บ้านก็โยนเครื่องสำอางเข้าไปในตู้เย็นซะ

ซึ่งวิธีนี้ นอกจากจะช่วยให้เครื่องสำอางคงสภาพที่ดีแล้ว ยังช่วยเติมความสดชื่นได้ทันที ที่คุณนำมาใช้ แต่ไม่ต้องจับครีมกันแดดใส่เข้าไปด้วยล่ะ เพราะครีมกันแดดจะคงสภาพได้ดีกว่าถ้าอยู่ในอุณหภูมิห้องปกติ

กินดี...สู้ผิวมัน

อาหารการกินก็มีส่วนต่อผิวของคุณ และเป็นการดูแลสุขภาพผิวตั้งแต่แรกเริ่ม โดยสำหรับสาวผิวมันแล้ว สารอาหารสำคัญก็คือวิตามินบี 2 เพราะแม้แต่การขาดวิตามินบี 2 เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้ผิวมันหนักขึ้นไปอีก ฉะนั้น ควรกินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี 2 ให้เพียงพอ เช่น ธัญพืชแบบไม่ขัดสีทั้งหลาย ถั่วต่าง ๆ หรือรอยัลเจลลี่

นอกจากนี้ ควรลดอาหารมัน ๆ หลีกเลี่ยงน้ำตาลและอาหารขยะทั้งหลาย อย่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำให้ร่างกายขาดน้ำ และดื่มน้ำให้พอเพียง เพื่อให้ผิวมันมีความชุ่มชื่นและช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย


ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือ
Lisa

มะม่วงสุก-เสาวรส เพื่อผิวกระจ่างใส



มะม่วงสุก-เสาวรส เพื่อผิวกระจ่างใส

สูตรเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ รสชาติเย็นช่วยคลายร้อน ทั้งยังมีสรรพคุณล้างพิษ ช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส แลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ก็เพราะได้สารอาหารจาก มะม่วง ผลไม้แห่งฤดูกาลนี้

อากาศร้อนอบอ้าวอย่างนี้ กินดี เตรียมสูตรเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ รสชาติเย็นช่วยคลายร้อน ทั้งยังมีสรรพคุณล้างพิษ ช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส แลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ก็เพราะได้สารอาหารจาก มะม่วง ผลไม้แห่งฤดูกาลนี้ ยิ่งเลือกรับประทานผลที่สุก อร่อยยิ่งอย่าบอกใคร ในมะม่วงอุดมไปด้วยวิตามินบี 3 แมกนีเซียม โพแทสเซียม ทองแดง และเบตาแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดี

ส่วนผสมร่วมเติมสุขภาพให้ผิวยังมี เสาวรส อัดแน่นด้วยวิตามินซี และสารอาหารที่ใกล้เคียงกับมะม่วง อย่าง เบตาแคโรทีน แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม และวิตามินบี 3

อีกอย่าง คือ แอปเปิ้ล ช่วยล้างพิษ และลดความตึงเครียด เพราะมีโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี1 บี2 และบี6 โดยในสูตรนี้เลือกใช้แอปเปิ้ลแดง

สำหรับส่วนผสมที่ต้องเตรียม ประกอบด้วย...

- แพชันฟรุต (เสาวรส) 1 ถ้วย
- มะม่วงสุก 1 ถ้วย
- แอปเปิ้ลแดง 2 ถ้วย
- น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

ขั้นตอนการผสม เริ่มจากคว้านเอาแต่เนื้อและเมล็ดของแพชันฟรุตออกมาแล้วสับพอหยาบ ปอกเปลือกมะม่วงหั่นเป็นชิ้นขนาดพอประมาณ ต่อด้วยการหั่นแอปเปิ้ลพร้อมเปลือกเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าโดยไม่ต้องคว้านเอาแกนออก นำผลไม้ทั้ง 3 ชนิดไปสกัดด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เทใส่แก้วเติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นสดชื่น ดื่มได้ทันที

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก Teenpath

เคล็ดลับการดูแลริมฝีปาก

เคล็ดลับการดูแลริมฝีปาก


ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับผิวหน้ามากที่สุด และยินดีที่จะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อให้มีใบหน้าที่ขาว สดใส เปล่งปลั่ง และดูสุขภาพดี แต่จะมีสักกี่คนกันที่จะใส่ใจกับริมฝีปากตัวเอง ด้วยการดูแลและบำรุงมันพอ ๆ กับผิว ทั้ง ๆ ที่ริมฝีปากเป็นจุดสนใจของทุกสายตาทุกครั้งที่คุณยิ้ม พูด และหัวเราะเลยนะคะนั่น ดังนั้นจะดีแค่ไหนถ้าหากเราดูแลและบำรุงมันให้ดูนุ่มและสุขภาพดีอยู่สม่ำเสมอ

วันนก็เลยมีวิธีดูแลริมฝีปากที่ทำได้ง่ายแสนง่ายมาฝากกัน เพียงเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กน้อย และเพิ่มการดูแลในแต่ละวันไปอีกหน่อย ไปดูกันเลยค่ะว่ามีอะไรบ้าง

1. นวดริมฝีปากเบา ๆ วันละ 3 ครั้ง ซึ่งทำได้ง่ายมากระหว่างที่คุณอาบน้ำ โดยนวดริมฝีปากด้วยแปรงสีฟันขนอ่อนนุ่ม เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปด้วยค่ะ อ๊ะ ๆ เน้นว่าเบา ๆ นะ เดี๋ยวปากจำช้ำเอาฟรี ๆ ค่ะ

2. หลีกเลี่ยงการเลียริมฝีปาก หากคุณปากแห้งบ่อย ให้พกลิปบาล์มหรือลิปกลอสไว้ทาเวลาปากแห้งดีกว่าค่ะ

3. ทาริมฝีปากก่อนนอนทุกคืน ลิปบาล์มไม่จำเป็นต้องใช้ในช่วงหน้าหนาวเท่านั้นนะคะ แต่ใช้ได้ในทุกฤดูเลยล่ะ เพราะมันจะทำให้ริมฝีปากของคุณนุ่มขึ้น ซึ่งการเลือกลิปบาล์มนั้น แนะนำให้ใช้ลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของวิตามัน E ด้วยนะคะ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าค่ะ

4. ในบางวัน อาจใช้น้ำมันมะกอก นวดริมฝีปากสัก 3 นาทีก่อนนอน น้ำมันมะกอกจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและอ่อนนุ่มของริมฝีปากได้เช่นกัน

5. นวดริมฝีปากด้วยน้ำอุ่น จะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวและเป็นการล้างคราบเครื่องสำอาง อาหาร เครื่องดื่ม ที่ตกค้างอยู่บริเวณริมฝีปากของคุณให้หมดไปได้ค่ะ

6. เลือกใช้ลิปสติกที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ในทุก ๆ วัน ซึ่งคุณจะได้ทั้งสีปากที่สวยและเป็นการบำรุงริมฝีปากไปพร้อม ๆ กันค่ะ

7. ปกป้องริมฝีปากจากการทำร้ายโดยแสงแดด ด้วยการใช้ลิปสติกที่มีส่วนผสมของ SPF เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาริมฝีปากคล้ำหรือแห้งได้

8. ทาลิปบาล์มให้ได้ 2-3 ครั้งระหว่างวัน เพราะริมฝีปากเป็นบริเวณเดียวในร่างกายที่ไม่สามารถผลิตความมันได้เหมือนผิวส่วนอื่น ๆ ค่ะ


ตัวการทำร้ายผิว


ตัวการทำร้ายผิว

1. แป้งขัดขาวและน้ำตาล

แป้งขัดขาวและน้ำตาลเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (Simple carbohydrate) ที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อน สลายตัวง่าย ย่อยสลายเป็นกลูโคส และดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็ว มีมากในผลไม้รสหวาน น้ำผึ้ง อ้อย น้ำตาลทราย นม โดยคาร์โบไฮเดรตกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (Glycemic หรือ GI) สูง นั่นหมายความว่า หากรับประทานอาหารที่มี GI สูง จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็วไปด้วย

อาหารกลุ่มนี้จะทำปฏิกิริยา Glycation ส่งผลให้โมเลกุลของน้ำตาลเข้าไปเกาะกับโปรตีนในร่างกาย เช่น ทำให้คอลลาเจนในผิวผิดรูปร่าง ทำให้เม็ดสีเพิ่มขึ้นกลายเป็นจุดด่างดำ จนถึงกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ก่อให้เซลล์ผิวอักเสบและเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร ผิวจึงไม่สดใสเปล่งปลั่ง
กินอย่างไรผิวไม่เสีย

คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของร่างกาย การงดรับประทานแป้งและน้ำตาลอย่างถาวรอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ คุณจึงควรเปลี่ยนมารับประทานแป้งกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex carbohydrate) เช่น แป้งจากธัญพืช ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท แทน เพราะมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ มีเส้นใยอาหารปะปน ทำให้ระดับน้ำตาลน้อยกว่า

นอกจากนี้ควรเลี่ยงการบริโภคน้ำตาลหรือน้ำเชื่อม โดยหันมากินน้ำตาลเทียมประเภทชูการ์แอลกอฮอล์ ซึ่งทำจากสาหร่ายสีน้ำตาล ที่เดิมถูกนำมาใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานเพราะไม่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด และไม่เป็นอันตรายกับร่างกายจึงนิยมใช้ในการทำอาหารมากขึ้น

2. ไขมันทรานส์

ไขมันทรานส์เกิดจากกระบวนการการแปรสภาพไขมันไม่อิ่มตัวให้กลายเป็นไขมันอิ่มตัวสูง โดยการเติมไฮโดรเจนลงไปในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง จึงมีลักษณะเป็นกึ่งของแข็ง เช่น มาร์การีนหรือเนยเทียม เนยขาว ครีมเทียม โดยมีชื่อบนฉลากอาหารว่า กรดไขมันชนิดทรานส์ หรือ Hydrogenated Oil หรือ Partially Hydrogenated Oil นิยมนำมาใช้ประกอบอาหารเพื่อให้อาหารคงความกรอบและเก็บได้นานขึ้น โดยไม่มีกลิ่นหืน ตัวอย่างของอาหารที่มีไขมันทราส์สูงได้แก่

อาหารประเภทฟาสฟู้ด ไก่ทอด มันฝรั่งทอด เบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยวสำเร็จรูป ครีมเทียม เป็นต้น เมื่อรับประทานอาหารเหล่านี้ จะเกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกายขณะเผาผลาญมีผลให้เซลล์เสื่อมโทรม นอกจากไขมันทรานซ์จะเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) แล้ว ยังเข้าไปลดไขมันชนิดดี (HDL) จึงเป็นสาเหตุของการเกิดเซลลูไลต์ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อีกด้วย

กินอย่างไรผิวไม่เสีย

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน โดยหันมาบริโภคอาหารที่ไม่ใช้ไขมันทรานส์ หลีกเลี่ยงอาหารทอดนอกบ้าน หันมากินผลิตภัณฑ์ไขมันต่ำ เบเกอรี่ที่ทำจากเนยสดแทนมาการีน และรับประทานไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว

(Monounsaturated) ที่พบมากในน้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา และน้ำมันรำข้าว เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระและคอเลสเตอรอลต่ำ

3. คาเฟอีน

คาเฟอีนพบในเครื่องดื่มประเภท ชา กาแฟ ช็อกโกแลต มีผลให้สมองส่วนที่ควบคุมระดับน้ำของร่างกายขับน้ำมากกว่าปกติ ทำให้น้ำในเซลล์ผิวหนังมีปริมาณลดลง ผิวจึงแห้ง และไม่เปลั่งปลั่ง

กินอย่างไรผิวไม่เสีย

หากคุณชอบดื่มชา กาแฟ ร้อนๆในช่วงเช้า อาจเปลี่ยนมาดื่มโกโก้ที่มีปริมาณคาเฟอีนน้อยหรือชาเขียวร้อนซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระมาก ถ้าเป็นคนติดกาแฟก็ควรจำกัดปริมาณไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน เพื่อไม่ให้มีปริมาณคาเฟอีนสูงเกินไป แล้วอย่าลืมดื่มน้ำเปล่ามากๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำของร่างกายจะ ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวขาดความชุ่มชื้นได้คะ

4. เครื่องดื่มแอลกฮออล์

แอลกอฮอล์เป็นอริตัวฉกาจของผิวพรรณ เพราะทำให้ระดับสารอนุมูลอิสะในร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสารอนุมูลอิสระที่มากเกินไป จะเข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเกิดริ้วรอยและขาดความยืดหยุ่น ชุ่มชื่น แลดูหมองคล้ำ นอกจากนี้แอลกอฮลล์ยังเป็นตัวขัดขวางการดูดซึมวิตามินบีของร่างกาย ทำให้เซลล์ผิวอ่อนแอ กระตุ้นการอักเสบของโรคสะเก็ดเงิน และยังไปทำลายกรดโฟลิกซึ่งมีผลให้ผมหงอกเร็วอีกด้วย

กินอย่างไรผิวไม่เสีย

"การไม่ดื่ม" คือทางออกที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผิว แต่ถ้าจำเป็น ก็ไม่ควรดื่มเกิน 1 ดริ๊งค์ และควรกินวิตามินบีรวมและกรดโฟลิกชนิดเม็ดเสริม

ดังที่กล่าวมาแล้ว เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายและผิว คุณอาจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินทีละน้อย โดยลดปริมาณอาหารที่ไม่จำเป็นและเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เข้าไปทดแทน เพื่อปรับสภาพร่างกาย เช่น ลดปริมาณน้ำตาล ความหวานที่รับประทานลงเพื่อไม่ให้ร่างกายติดรสหวาน เลือกกินอาหารจานด่วนที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแทนฟาสฟู้ด เลือกกินข้าวกล้องแทนข้าวขาว หรือเส้นก๋วยเตี๋ยวจากแป้งไม่ขัดขาว ขนมปังโฮลวีต ธัญพืช เป็นต้น

เพียงแค่รู้ทันและรู้จักพลิกแพลง ก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่า เมนูโปรดจะกลายเป็นตัวบั่นทอนสุขภาพผิวของคุณอีกต่อไป

สูตรผักบำรุงผิว


สูตรผักบำรุงผิว

สูตรผักบำรุงผิว Beauty In Season (Health and Cuisine)

ผักมีประโยชน์ต่อร่างกายและนำมาทำเป็นสูตรบำรุงผิวได้ดีไม่แพ้ผลไม้ ยิ่งในฤดูฝนมีผลผลิตมาก นอกจากจะสวยได้ง่าย ๆ และยังสบายกระเป๋าด้วย

ผักกาดหอม ปั่นผักกาดหอมหั่น 1 ถ้วย นมสด 1/3 ถ้วย วุ้นว่านหางจระเข้ 3 ช้อนโต๊ะไข่แดง 1 ฟอง และน้ำมันมะกอก 1 ชอนชา ให้ละเอียดเป็นเนื้อครีม แล้วทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20-25 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น สัปดาห์ละครั้ง ผิวหน้าจะชุ่มชื้นเนียนขาวใส เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย

บัวบก ปั่นใบบัวบก 1 ถ้วย โยเกิร์ต ½ ถ้วย และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ จนละเอียดเป็นเนื้อครีมข้น แล้วทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20-25 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น จะทำให้ผิวหน้าเนียน ขาวใส รูขุมขนกระชับ

ผักชีฝรั่ง ใช้รากและใบผักชีฝรั่งสด 2 ถ้วยปั่นกับน้ำต้ม 1 ถ้วย กรองเอาแต่น้ำมาปั่นอีกครั้งกับวุ้นว่านหางจระเข้ ½ ถ้วย ใช้สำลีชุบส่วนผสมทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที ทาทับอีกครั้ง ทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ผิวหน้าจะเนียนนุ่ม เต่งตึง ขาวใส

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อาหารบำรุงผิว


ผิวสวยจากข้างใน
ใส่ใจอาหารบํารุงผิว

ไม่ว่าหญิงหรือชาย มักปรารถนาเป็นเจ้าของผิวสวยตามธรรมชาติ เรียกกันว่าสวยมาจากข้างในชนิดที่ไม่ต้องพึ่งพาโลชั่ นบํารุงผิวให้เสี่ยงต่อสารเคมี โดยเฉพาะคุณแม่ที่กําลังตั้งครรภ์ ต้องเริ่มมาจาก ‘You are what you eat’ กินอย่างไรก็ได้เช่นนั้นค่ะ ในเรื่องผิวก็เช่นกัน เพราะคุณสามารถสร้างให้ผิวสวยขึ้นได้จากอาหารการกินค ่ะ

มาลองทบทวนกันดูสิว่าในแต่ละวัน

คุณได้ทานอาหารเหล่านี้บ้างหรือยัง



............. ส้ม อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบํารุงผิวพรรณให้สดใสดูอ่อนวัย
............. มะนาวอุดมด้วยวิตามินซีที่มีประโยชน์ต่อผิว แล้วยังช่วยทําความสะอาดตับ ซึ่งทําหน้าที่กําจัดของเสียออกจากร่างกายได้อีกด้วย
............. แครอท ให้คุณค่าเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเออาหารที่จําเป็นสําหรับผิ ว

............. กีวี ประกอบด้วยวิตามินซีที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างคอลลา เจน
............. อะโวคาโด อุดมด้วยวิตามินอีที่ช่วยบํารุงผิว กินอะโวคาโดวันละผลจะให้วิตามินอี เพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันได้
............. โยเกิร์ต ช่วยในการขับถ่าย ทําให้ผิวพรรณสดใส ไม่หมองคล้ำ
............. เมล็ดถั่วต่างๆ อุดมด้วยโปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่จําเป็นสําหรับผิวสวย
............. งา อุดมด้วยวิตามินบี สังกะสี โพแทสเซียม ช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ทําให้ผิวสดใสอ่อนวัยเสมอ
............. น้ำมันมะกอก มีวิตามินอีอยู่มาก ช่วยบํารุงคอลลาเจนใต้ผิวให้เนียมนุ่มชุ่มชื่นอย่างเ ป็นธรรมชาติ
............. ผักโขม อุดมด้วยธาตุเหล็ก ช่วยบํารุงผิวให้เปล่งปลั่งมีสุขภาพดี
............. ปลา มีไขมัน เช่น แซลมอน น้ำมันปลาช่วยให้ผิวเต่งตึงไม่เ่ยวย่น กินอย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์
............. น้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ช่วยชําระของเสียและสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย
............. ลูกพีช องุ่น แอปเปิ้ล ส้ม อ้อย มะขาม มีวิตามินที่ช่วยให้ผิวสดใส มีน้ำมีนวลอย่างเป็นธรรมชาติ

บํารุงผิวคุณแม่สวย


............. ผิวแห้ง เพิ่มปลาที่มีน้ำมัน เช่น แมคคอเรล แซลมอน กะตัก เมล็ดธัญพืช ถั่วเปลือกแข็ง เพื่อให้ผิวได้รับไขมันที่ดี ลดไขมันอิ่มตัว มาร์การีน ฟาสต์ฟู้ด อาหารสําเร็จรูป มันฝรั่งทอด บิสกิต น้ำตาลทรายขาว
............. ผิวมัน เพิ่มผลไม้ ผักสดให้ผิวชุ่มชื่น เช่น สับปะรด มะละกอ อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดธัญพืช ลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว นม เนย เนื้อแดง
............. ผิวแพ้ง่าย เพิ่มวิตามิน วิตามินเอ วิตามินซี ซึ่งพบในแครอท มะม่วง กีวี ข้าวโอ๊ต ถั่วเปลือกแข็ง เนื้อสัตว์ เพื่อเพิ่มธาตุสังกะสี และลดอาหารรสจัด เช่น พริก พริกไทย เป็นต้น





หลีกเลี่ยงอาหารทําลายผิว


............. มาร์การีน เป็นตัวการทําให้เกิดริ้วรอยมากขึ้น
............. อาหารทอด ทําให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดสิว
............. คาเฟอีน ดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุที่จําเป็นจากร่างกาย และทําให้ผิวขาดความชุ่มชื่น
............. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ทําให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ กรณีที่แพ้จะทําให้ผิวเป็นผื่นแดงได้ด้วย

การดูแลผิวแบบง่ายๆ

การดูแลผิว แบบง่ายๆ

คุณต้องรู้ก่อนว่าคุณมีสภาพผิวอย่างไร เช่น มีผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวผสม และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องตามสภาพผิว ซึ่งการดูแลผิวขั้นพื้นฐานนั้นสำคัญที่สุด มี 3 ขั้นตอนหลัก ขั้นตอนแรกคือ คลีนซิ่ง หรือการทำความสะอาด อันนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลผิว เลยกว่าได้ เพราะหากเราไม่ทำความสะอาดผิวให้ดีพอ จะทำให้สิ่งสกปรกตกค้างภายในรูขุมขน และเกิดการอุดตัน จนเป็นสิวได้หรืออาจเกิดริ้วรอยได้เช่นกัน


เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอย่างไร ถึงจะดี?

ขั้นตอนที่ 1 การเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดง่ายมาก

ถ้าคุณแต่งหน้าเยอะควรใช้คลีนซิ่ง ครีม, คลีนซิ่ง โลชั่น หรือคลีนซิ่ง เจล เพราะจะช่วยขจัดเมกอัปได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณผิวมัน แต่งหน้าเยอะเลือกใช้คลีนซิ่งชนิดโลชั่น หรือเจล หากผิวแห้งแต่งหน้าเยอะก็เลือกใช้ชนิดครีมค่ะ อย่าลืมใช้คลีนซิ่ง โฟม ด้วย เพราะโฟมจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ติดค้างภายในรูขุมขนอีกครั้งหนึ่ง

ขั้นตอนที่ 2 โลชั่นปรับสมดุลผิว

ขั้นตอนนี้คนส่วนใหญ่มองข้ามไปเลย เพราะนึกว่าไม่สำคัญ ล้างหน้าเสร็จปุ๊บ ตามด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์เลย ซึ่งถือว่าเป็นเข้าใจผิดอย่างมหันฑ์ เพราะขั้นตอนการใช้โลชั่นปรับสมดุลผิวนี้จะช่วยให้ผิวอ่อนนุ่ม ไม่แห้งตึง หลังการล้างหน้า ช่วยกระตุ้นการซึมซาบของ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้ลงสู่ผิวอย่างมีประสิทธิภาพ หลังการเช็ดโลชั่น ที่ผิวหน้ายังสามารถเช็ดบริเวณลำคอ หลังมือ ข้อศอกเพื่อให้ผิวอ่อนนุ่มขึ้นได้อีกด้วยค่ะ เรียกว่าใช้ได้หลากหลายวัตถุประสงค์

มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการดูแลผิว และเปรียบเสมือนเสื้อคลุมปกป้องผิวจากสิ่งแวดล้อมภายนอก คงความชุ่มชื่นให้ผิวอ่อนนุ่มชุ่มชื้นขึ้น


เลือกผลิตภัณฑ์กันแดดอย่างไรให้เหมาะกับผิวคุณ?

ก่อนอื่นต้องเลือกผลิตภัณฑ์กันแดด ที่สามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้ทั้งสองแบบ เหตุผลก็คือจะสามารถป้องกันทั้งการเกิด ฝ้า กระ จุดด่างดำ และความหมองคล้ำ ที่เกิดจากรังสี UVB และป้องกันการเกิดริ้วรอย ที่เกิดจากรังสี UVA และแนะนำให้ดูว่า หน้ากล่องจะระบุคำว่า SPF นั่นคือ ค่าป้องกันรังสี UVB หากปกป้องระหว่างวัน เลือก SPF 15 ขึ้นไป และคำว่า PA ค่าในการป้องกันรังสี UVA ที่ระบุด้วยเครื่องหมาย + ถ้าเห็นว่า มี +++ แสดงว่าให้การป้องรังสี UVA อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ขอแนะนำว่า (สำหรับอากาศในเมืองไทย ที่มีแต่ร้อน และร้อนที่สุด ควรเลือก SPF 30 และ PA ++)

สำหรับการปกป้องระหว่างวัน และหากออกแดดจัด ก็เลือกประมาณ SPF 50 PA+++ ก็ดีเลยค่ะ แต่อย่าไปเลือกที่มีค่า SPF สูงมากเกินไป เพราะค่าในการป้องกันแดดแทบจะไม่แตกต่างกันเลย แถมอาจจะทำให้เรารู้สึกไม่สบายผิวด้วยค่ะ

สาวผิวมัน เลือกใช้กันแดดชนิดโลชั่นนะคะ แต่สาวผิวแห้ง เลือกใช้แบบครีมจะดีกว่า ค่ะ เพราะจะให้ความชุ่มชื้นสูง ซึ่งในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์กันแดด ที่ให้การปกป้องและฟื้นฟูผิวไปพร้อมๆ กัน ทำอย่างไรไม่ให้ฝ้ามาเยือนใบหน้า

ความจริงเกี่ยวกับมะเร็ง


ความจริงเกี่ยวกับมะเร็ง

1.
ทุกคนมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลล์จำพวกนี้จะไม่สามารถตรวจหาพบโดยเครื่องมืออทางการแพทย์
จนกว่าจะมีปริมาณเซลล์เป็น 2-3 ร้อยล้านเซลล์

หากไปพบหมอ แล้วหมอบอกว่าคุณไม่มีเซลล์มะเร็งในร่างกายหลังจากการตรวจ
นั่นแค่หมายความว่า เครื่องมือทางการพทย์ไม่สามารถตรวจพบเซลล์มะเร็งได้
เนื่องจากขนาดของเซลล์มะเร็งยังไม่มากพอ หรือขาดยังไม่ใหญ่พอให้เครื่องมือตรวจเจอ

2.
เซลล์มะเร็ง เกิดขึ้นมาก ถึง 6 -10 ครั้ง ใน 1 ช่วงชิวิตของมนุษย์

3.
เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง เซลล์มะเร็งก็จะถูกทำลาย
เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งขยายตัว และสร้างก้อนเนื้อร้าย

4.
เมื่อคนไข้ ถูกบ่งชี้ว่าเป็นมะเร็ง แสดงให้เห็นว่ามีการขาดสารอาหารบางชนิด หรือ โภชนาการไม่ดี
ซึ่งอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม อาหาร หรือปัจจัยอื่นในการดำรงชีวิต

5.
การเอาชนะเซลล์มะเร็ง สามาถทำได้โดยการสร้างความแข็งแกร่งให้เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย

6.
การให้คีโม หรือสารเคมีบางชนิด เป็นทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็ทำลายเซลล์ที่ดีของร่างกายไปด้วยอย่างรวดเร็ว
ซึ่งเป็นอาจทำลายระบบของอวัยวะสำคัญไปด้วย เช่น ตับ ไต หัวใจ หรือปอด

7.
การฉายรังสี ก็จะทำลายเซลล์มะเร็ง และทำให้เนื่อบางส่วนไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลล์ เนื่อเยื่อที่ดีไปด้วยเช่นกัน

8.
โดยทั่วไปแล้ว การให้คีโม หรือการฉายรังสี อาจจะทำให้ขนาดของก้อนเซลล์มะเร็ง ลดลง แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้มีผลทำลายก้อนเนื่อไปมากกว่านั้น

9.
เมื่อร่างกายต้องรับสารพิษจำนวนมาก จากการให้คีโมหรือการฉายแสง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะถูกทำลายไปด้วย
ดังนั้นร่างกาวยก็ง่ายต่อการติดเชื้อ หรือพ่ายแพ้เซลล์มะเร็ง

10.
การให้คีโม หรือการฉายแสง อาจเป็สาเหตุให้เซลล์มะเร็ง มีการกลายพันธุ์ หรือดื้อยา
ทำให้ยากแก่การทำลาย การผ่าตัด ก็อาจสามารถทำให้ เซลล์มะเร็งกระจายไปยังส่วนอื่น

11.
วิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง คือ หยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยการหยุดให้อาหารที่เซลล์มะเร็งจำเป็นต้องนำไปใช้


สารอาหารที่เซลล์มะเร็งต้องการ

1.
น้ำตาล เช่น น้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลเทียมนั้น เป็นประโยชน์ต่อเซลล์มะเร็ง ดังนั้นหากจำเป็นต้องใช้ แนะนำให้ใช้น้ำตาลจากธรรมชาติแทน เช่น น้ำผึ้ง แต่ต้องใช้ในปริมาณที่น้อยมากมาก ส่วน เกลือ จะมีสารที่เซลล์มะเร็งนำไปใช้ได้ จึงควรงดหรือบริโภคในปริมาณน้อย

2.
นมวัวควรหลีกเลี่ยง ควรดื่มน้ำนมถั่วเหลืองทดแทน

3.
เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตได้ดีในสภาพที่เป็นกรด การบริโภคเนื้อสัตว์ทำให้เกิดสภาพเป็นกรด
ควรรับประทานอาหารประเภทปลา ดีกว่าหมู เนื้อ และเนื้อสัตว์อื่นๆ ที่อาจมีแบคทีเรียที่อยู่ในโฮโมนที่ใช้ในการเจริญเติบโตปนเปื้อนอยู่ และเป็นอันตรายต่อคนไข้ที่เป็นมะเร็ง

4. 80 %
ของผักและน้ำผลไม้สด ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชต่างๆ จะช่วยให้ร่างกายมีสภาพเป็นด่าง 20% น้ำผักและน้ำผลไม้สดจะให้เอนไซม์ที่ง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพื่อไปเสริมสร้างความแข็งแรงให้เซลล์ที่ดี ดังนั้นควรดื่มน้ำผักสดและกินผักดิบ 2 -3 ครั้งต่อวัน เพราะเอนไซม์จะถูกทำลายที่ 40 c

5.
หลีกเลี่ยงชา กาแฟ ช็อกโกแลต ที่มีคาเฟอีนที่สูง ให้ดื่มชาเขียวที่มีสารต้านมะเร็ง
ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำกรองจะดีที่สุด หลีกเลี่ยงน้ำประปาและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีสภาพเป็นกรด

6.
เนื้อสัตว์ที่ย่อยยากและต้องการเอนไซม์ในการย่อยเป็นจำนวนมากนั้น อาจย่อยได้ไม่หมดและตกค้างอยู่ในลำไส้ อันนำไปสู่สารพิษตกค้าง

7.
เซลล์มะเร็ง มีโปรตีนที่ยากแก่การทำลายเป็นเกราะป้องกัน การบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์มะเร็งได้ง่ายขึ้น

8.
อาหารเสริมบางอย่างช่วยเสริมสร้งความแข็งแกร่งให้กับระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อไปทำลายเซลล์มะเร็ง เช่น วิตามินซี สารสกัดเมล็ดองุ่น

9.
เซลล์มะเร็ง เป็นเชื้อโรคของจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาน ดังนั้น การควบคุมอารมณ์ และการมองโลกในแง่ดีจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น อารมณ์โกรธหรือความเครียดจะสร้างสภาพความเป็นกรดให้ร่างกาย ควรเรียนรู้ที่จะรักและให้อภัย พักผ่อนและสนุกกับการใช้ชีวิต

10.
เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจิญเติบโตในที่มีออกซิเจนได้ การออกกำลังกายทุกวันและหายใจเข้าลึกลึก จะช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในเซลล์ การบำบัดด้วยออกซิเจนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พฤติกรรมทำร้ายกระดูกสันหลัง


อิริยาบถที่เราใช้อยู่ทุกวัน อาจจะทำร้ายกระดูกสันหลังของคุณอย่างไม่รู้ตัว ไปดูกันซิว่าพฤติกรรมใดที่ส่งผลเสียต่อกระดูกสันหลังของคุณบ้าง


1. การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด

2. การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้

3. การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ

5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย

6. การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง

7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง

8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้

9. การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ

10. การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

ออกกำลังสมอง ก่อนสมองจะเสื่อม

สมองก็ เหมือนร่างกายที่ต้องการการออกกำลังให้แข็งแรง คล่องแคล่ว ฉับไว โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้นยิ่งต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะการทำงานของสมองเสื่อมลงจนอาจเกิดภาวะสมองเสื่อม สูญเสียความทรงจำ หรือเกิดโรคอัลไซเมอร์

ในประเทศไทยพบว่า มีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมสูงมากกว่า 200,000 คน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 450,000 คนในอีก 15 ปีข้างหน้า ดังนั้น เมื่ออายุมากขึ้น โอกาสเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองเสื่อมยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรักษาความดันโลหิตให้ปกติ อย่าให้มีไขมันในเลือดสูง ออกกำลังสมอง ไม่เครียด และเข้าร่วมสังคม จะช่วยกระตุ้นให้สมองทำงาน ไม่เสื่อมสภาพเร็ว


การออกกำลังสมอง หรือ "นิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์" (Neurobics Exercise) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยได้

ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงนันทิกา ทิวชาชาติ จากภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกเล่าถึงถึงวิธีการออกกำลังสมองว่า การออกกำลังสมองเปรียบเทียบได้กับการออกกำลังของร่างกาย ที่จะต้องเคลื่อนไหวเพื่อใช้กล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วนให้ทำงานเชื่อมโยงกัน ส่งผลให้ร่างกายเราแข็งแรงขึ้น

ดังนั้นการออกกำลังสมองจึงเป็นเสมือนการฝึกให้สมองส่วนต่าง ๆ มีการทำงานที่ประสานสัมพันธ์กัน ทำให้ระบบการทำงานของสมองแข็งแรงและมีพลังขึ้น เพราะเมื่อฝึกออกกำลังสมองบ่อย ๆ สมองจะมีการหลั่งสารที่เรียกว่า นิวโรโทรฟินส์ (Neurotrophins) ที่เปรียบเหมือน "อาหารสมอง" ที่ ทำให้เซลล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ "เดนไดรต์" (Dendrite) ที่เชื่อมระหว่างเซลล์ประสาททำงานดีขึ้นจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เนื้อเซลล์เจริญเติบโต และเซลล์สมองแข็งแรง


"เมื่อเซลล์สมองส่วนใหญ่แข็งแรง ก็จะทำให้เกิด "พุทธิปัญญา" (Cognitive Function) ที่หมายถึงความจำ สมาธิ การรับรู้ ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมการแสดงออก รวมไปถึง " การทำงานของสมองระดับสูง" (Executive Function) คือ การคิด แก้ปัญหา การตัดสินใจ และการวางแผนที่ดีขึ้นทำให้การทำงานของสมองยังคงประสิทธิภาพดี แข็งแรง และชะลอความเสื่อม เรียกง่าย ๆ ว่า "สมองฟิต" เหมือนการออกกำลังให้ร่างกายนั่นแหล่ะ"

สำหรับหลักการของการออกกำลังสมอง หรือนิวโรบิกส์ เอ๊กเซอร์ไซส์ ศาสตราจารย์แพทย์หญิงนันทิกา อธิบายว่า เกิดจากการกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 (Sensory Organs) อันได้แก่ การได้ยิน ได้มองเห็น การได้กลิ่น การลิ้มรส และการสัมผัส รวมไปถึงส่วนสำคัญส่วนที่ 6 คือ ส่วนของ "อารมณ์" (Emotional Sense) ได้ทำงานเชื่อมโยงกัน โดยใช้กิจกรรมในชีวิตประจำวันเดิมของเราเป็นตัวช่วยเพียงแต่ต้องเปลี่ยนวิธีการไปจากเดิม

"ยกตัวอย่างเช่น จากที่เคยชินกับการใช้มือขวาซึ่งเป็นข้างที่ถนัดหยิบจับทุกอย่าง ก็เปลี่ยนมาใช้มือซ้ายทำแทน เนื่องจากพฤติกรรมและการรับรู้ต่าง ๆ เกิดจากการทำงานประสานกันระหว่างสมองซีกซ้ายและขวา ถ้าเราใช้แต่มือข้างขวาทำทุกอย่าง สมองด้านซ้ายซึ่งบังคับมือขวาจะได้รับการกระตุ้นด้านเดียว แต่สมองส่วนขวาซึ่งบังคับมือซ้ายก็จะไม่ค่อยได้ทำงานและอาจจะเสื่อมไป ดังนั้นเมื่อเราฝึกทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยมือซ้าย ก็ช่วยให้สมองส่วนขวาได้รับการกระตุ้นและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย"

มาลองออกกำลังสมองด้วยตัวเองกันดูนะคะ

ถ้าอยู่บ้าน ลองทำกิจกรรมเหล่านี้ดู
- ปิดตาทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ปิดตาอาบน้ำ ปิดตาดูทีวี เพื่อเปลี่ยนความเคยชินในการรับข้อมูลจากประสาทสัมผัสเดิม ๆ เช่น เมื่อเราปิดตาดูทีวี แทนที่จะ"มองเห็น" เราก็จะ "ฟัง" และกระตุ้นความคิดว่า เรากำลังดูรายการอะไร หรือพิธีกรซึ่งเป็นเจ้าของเสียงนี้คือใคร
- ปิดไฟในห้องแล้วใช้มือคลำ เพื่อกระตุ้นประสาทในส่วน "สัมผัส" เชื่อมโยงกับความจำว่าสวิตซ์ไฟหรือสิ่งของภายในห้องอยู่ตรงไหน
- สลับกับกิจกรรมที่เคยทำตั้งแต่ตื่นนอน จากที่เคยอาบน้ำก่อนกินข้าว ก็เปลี่ยนเป็นกินข้าวก่อนอาบน้ำ (แต่จะแปรงฟันก่อนก็ได้) เนื่องจากสมองจะใช้พลังในการทำสิ่งใหม่ ๆ มากกว่าตอนที่ทำกิจกรรมเดิม ๆ ซึ่งเคยชิน

ระหว่างเดินทางก็ฝึกสมองได้
- หากเปิดแอร์ระหว่างขับรถทุกวันก็ลองเปิดกระจกขับรถบ้าง แต่ก็ควรเลือกเส้นทางที่มีอากาศบริสุทธิ์หน่อยนะคะ เพื่อเชื่อมโยงประสาทรับกลิ่นและเสียงภายนอกให้ทำงานประสานกันมากขึ้น
- หากคุณต้องขับรถไปทำงานทุกวันก็ลองเปลี่ยนเส้นทางที่ใช้อยู่เดิมบ้าง อาจเป็นเส้นทางที่ใช้อยู่เดิมบ้าง เส้นทางใหม่ที่ทราบอยู่แล้ว หรือเส้นทางทดลองขับก็ได้ เพราะทั้งวิวทิวทัศน์ กลิ่น และเสียงของเส้นทางใหม่จะช่วยกระตุ้นทั้งสมองชั้นนอกและฮิปโปแคมปัสให้สร้าง แผนที่เส้นทางชุดใหม่ขึ้นในสมอง
- เปลี่ยนวิธีการเดินทางบ้าง เช่น จากที่เคยขับรถก็อาจนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้ามาทำงานแทน

ทำงานไปด้วย ฝึกสมองไปด้วยก็ได้
- เปลี่ยนตำแหน่งสิ่งของบนโต๊ะทำงานโดยเฉพาะถังขยะ เพราะความเคยชินจากการรู้ว่าจะหยิบจับอะไรตรงไหน ทำให้สมองเราทำงานน้อยลง พิสูจน์ได้จากเมื่อคุณย้ายตำแหน่งถังขยะในช่วงแรก ๆ คุณก็ยังทิ้งขยะลงที่เดิมซึ่งไม่ลงถังแล้ว นั่นเป็นเพราะสมองเคยชิน
- พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานใหม่หรือคนที่ไม่ค่อยคุยด้วย เพื่อเติมข้อมูลใหม่ ๆ ให้กับสมอง ทั้งการจำลักษณะใบหน้า เสียงพูดหรืออุปนิสัยส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานคนนั้น
- ชวนเพื่อนร่วมงานถกเถียง อภิปรายหรือพูดคุยในประเด็นที่ไม่เคยพูด เพื่อเปิดรับข้อมูลใหม่ ๆ

ลองฝึกดูนะคะ ค่อย ๆ ทำวันละเล็ก วันละน้อย ก็สามารถจะยืดอายุสมองของคุณให้แข็งแรงนานขึ้นค่ะ

*****************
Shared by: สุกี้
www.ProAndBest.com